วาทการ

วาทการ




       การพูดเป็นการสื่อสารที่ใช้มากเป็นอันดับสองรองลงมาจากการฟัง เราจะเห็นได้ว่าในวันหนึ่ง ๆ นั้นเราจะสื่อสารกันด้วยการพูดเสียเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยกับพ่อแม่ พี่น้อง เพื่อนฝูงหรือคนอื่น ๆ ที่เราได้ติดต่อพบปะในระหว่างวัน เพราะการพูดเป็นวิธีการส่งสารที่ใช้สะดวกรวดเร็ว และก่อให้เกิดความเข้าใจอันดีต่อกันได้มากกว่าการเขียน

ความหมายของการพูด
        จินดา งามสุทธิ (อ้างใน สุวัชรา ทรัพย์พรรณ : 2536 : 4) ให้ความหมายการพูดว่า การพูดคือการเปล่งเสียงออกมาเป็นคำพูด เพื่อติดต่อสื่อสารให้เข้าใจกันระหว่างผู้พูดและผู้ฟัง หรือการพูดคือการสื่อความหมายแบบหนึ่งที่เรียกว่า Oral Communication มิได้หมายความว่าเป็นการสื่อความหมายโดยใช้ปากเท่านั้น แต่เป็นการสื่อความหมายโดยใช้ภาษาเสียง กิริยาท่าทางต่าง ๆ เพื่อถ่ายทอดความรู้สึกของผู้พูดให้แก่ผู้ฟัง ให้ได้ผลตามความมุ่งหมายของผู้พูด
        สมจิต ชิวปรีชา (2535 : 1) ให้ความหมายของการพูดไว้ว่า การพูด (Speech) หมายถึงการติดต่อสื่อสารความหมายระหว่างมนุษย์ โดยใช้เสียง ภาษา แววตา สีหน้า ท่าทางต่าง ๆ เพื่อถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดจากผู้พูดไปยังผู้ฟังให้เป็นที่เข้าใจกัน
        ประภาศรี สีหอำไพ และคณะ (2537 : 4) ได้ให้ความหมายของการพูดไว้ว่า  การพูดเป็นวิธีสื่อสารชนิดหนึ่งของทักษะการส่งสาร (Expressive Skill) ซึ่งสามารถฝึกหัดให้มีประสิทธิภาพได้  โดยผู้พูดสามารถส่งรหัสของสาร (Encode) โดยใช้ภาษา  ถ้อยคำ และท่าทางเป็นสื่อส่งสารไปให้ผู้ฟังสามารถถอดรหัส (Decode) จนเข้าใจความหมายของสาร (Massage) ได้
        กองเทพ  เคลือบพณิชกุล (2542 : 43) ได้ให้ความหมายของการพูดไว้ว่า  การพูด คือ การที่มนุษย์เปล่งเสียงเป็นถ้อยคำภาษาออกมา เพื่อแสดงความรู้ ความคิด ความรู้สึก หรือความต้องการของผู้พูดไปให้ผู้ฟังได้ยิน และเข้าใจ โดยอาศัยภาษา น้ำเสียง และอากัปกิริยา ท่าทางเป็นสื่อ และมีการตอบสนองจากผู้ฟัง
        ศิวาพร  วัฒนรัตน์ (2552 : 31) ได้ให้ความหมายของการพูดไว้ว่า  การพูด (Speech) หมายถึง พฤติกรรมการสื่อสารเพื่อสื่อความหมายแบบหนึ่งที่เรียกว่า Oral Communication หมายถึงการสื่อความหมายโดยใช้ปาก เป็นการสื่อความคิดจากคนหนึ่งซึ่งเรียกว่า ผู้พูด ไปยังอีกคนหนึ่งหรือกลุ่มหนึ่งซึ่งเรียกว่า ผู้ฟัง ทั้งนี้จะต้องมีจุดมุ่งหมาย เช่น เพื่อถ่ายทอดความรู้ ความเข้าใจ ความคิดเห็น ความรู้สึกหรือความต้องการให้แก่ผู้ฟัง โดยมีเสียง ภาษา สัญลักษณ์ รวมทั้งอากัปกิริยาเป็นสื่อประกอบความเข้าใจ
        นพดล  จันทร์เพ็ญ (2535 : 55) ได้ให้ความหมายของการพูดไว้ว่า  การพูดคือพฤติกรรมการสื่อสารของมนุษย์ โดยอาศัยภาษา ถ้อยคำ น้ำเสียง ตลอดจนกิริยาท่าทาง และอื่น ๆ เพื่อถ่ายทอดความรู้สึกสึกคิดของตนเองแก่ผู้อื่น ให้เกิดผลตอบสนองตามที่ต้องการ
        สรุปแล้ว การพูด หมายถึง พฤติกรรมอย่างหนึ่งของมนุษย์ที่แทรกอยู่ในชีวิตประจำวันตลอดเวลา อาจจะออกมาในรูปแบบของภาษาพูด หรือภาษาท่าทาง รวมถึงสัญลักษณ์ต่าง ๆ เพื่อสื่อความหมายกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

ความสำคัญของการพูด
      การพูดเป็นพฤติกรรมการใช้ภาษาที่ใช้มากเป็นอันดับสอง รองลงมาจากการฟัง และเป็นกิจกรรมที่ใช้ภาษามากที่สุด
        พูดดีเป็นศรีแก่ตัว               พูดชั่วอัปราชัย
        ถึงบางพูดพูดดีเป็นศรีศักดิ์            มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต
แม้นพูดชั่วตัวตายทำลายมิตร               จะชอบผิดในมนุษย์เพราะพูดจา
                                                         (สุนทรภู่ : นิราศภูเขาทอง)
        ปากเป็นเอกเลขเป็นโทโบราณว่า   หนังสือเป็นตรีมีปัญญาไม่เสียหลาย
ถึงรู้มากไม่มีปากลำบากตาย         มีอุบายพูดไม่เป็นเห็นป่วยการ
                                                         (พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า : วิวาห์พระสมุทร)
        แม้จะเรียนวิชาเชิงค้าขาย             อย่าปากร้ายพูดจาอัชฌาสัย
จะซื้อง่ายขายดีมีกำไร                 ด้วยเขาไม่เคืองจิตคิดระอา
                                                          (สุนทรภู่ : สุภาษิตสอนหญิง)
        คณาจารย์ภาควิชาภาษาไทย สถาบันราชภัฏธนบุรี (อ้างใน กองเทพ เคลือบพณิชกุล 2542 : 43) ได้สรุปความสำคัญของการพูด ไว้ดังนี้
        1. เป็นทักษะทางภาษาที่ใช้สะดวก เข้าใจง่ายกว่าการเขียน ซึ่งเป็นทักษะใช้ส่งสารด้วยกัน
        2. เป็นเครื่องมือในการสมาคม ทำให้เกิดความสำเร็จในชีวิต เป็นเครื่องแสดงออกถึงความโง่ ความฉลาด อุปนิสัยใจคอของผู้พูด อารมณ์ ความเป็นมิตร และความเป็นศัตรูต่อกัน
        3. การพูดทำให้การดำเนินงานในวงการต่าง ๆ ดำเนินลุล่วงไปได้ด้วยดี เช่น ด้านการศาสนา ด้านการค้า ด้านการเมือง ด้านการศึกษา และอื่น ๆ
        4. การพูดเป็นวิชาการที่จำเป็นต้องศึกษาเล่าเรียน จึงได้มีการกำหนดไว้ในหลักสูตรวิชาภาษาไทยในระดับมัธยมศึกษา และในหลักสูตรระดับอุดมศึกษา ของสถาบันการศึกษาของรัฐและเอกชน เพื่อเน้นให้ผู้เรียนมีทักษะในการพูดและมีความรู้พื้นฐานในด้านการพูด เพื่อศึกษาต่อในระดับสูงต่อไปทั้งในและต่างประเทศ
        5. การพูดช่วยทำให้การงานหรืออาชีพเด่นได้ อาชีพหลายอาชีพจำเป็นต้องอาศัยการพูดเป็นหลักสำคัญ เช่น นักกฎหมาย ครู-อาจารย์ นักธุรกิจ นักบริหาร นักการเมือง และผู้สอนศาสนา หรือแม้ประกอบอาชีพอื่น หากมีศิลปะการพูดที่ดีก็จะทำให้ธุรกิจการงานเจริญก้าวหน้าและประสบความสำเร็จในชีวิตได้

จุดมุ่งหมายของการพูด
       การที่จำเป็นที่จะต้องมีจุดมุ่งหมาย เพราะ จุดมุ่งหมายคือสิ่งที่เรากำหนดไว้ว่าต้องเป็นอย่างไร ถ้าเราไม่จุดมุ่งหมายก็จะทำให้เลื่อนลอย การพูดก็เช่นกัน ย่อมจะต้องมีจุดมุ่งหมายว่าเราพูดไปเพื่ออะไร เพื่อที่จะได้ตรงจุด ตรงเป้าหมายที่วางไว้
        สนิท  สัตโยภาส (2542 : 68) ได้ให้จุดประสงค์ทั่วไปของการพูด ดังต่อไปนี้
        1. เพื่อบอกกล่าวให้รู้ เช่น การเล่าเรื่อง การเล่าประสบการณ์ การสอน หรือ การบรรยายในชั้นเรียน การเสนอผลงานในที่ประชุมทางวิชาการ การปาฐกถาในลักษณะให้ความรู้ เป็นต้น
        2. เพื่อเรียกร้องความสนใจ การพูดแบบนี้จะไม่เป็นวิชาการนัก เช่น ประธานพูดแนะนำผู้มีเกียรติ การเล่าเรื่องการท่องเที่ยว การพูดของผู้ประกาศ เป็นต้น
        3. เพื่อโน้มน้าวใจ คือ พูดเพื่อชี้ให้เห็นประโยชน์ที่จะได้รับถ้าหากเชื่อถือหรือปฏิบัติตาม และชี้ให้เห็นโทษของการไม่เชื่อถือหรือไม่ปฏิบัติตาม หรือพูดเชิญชวนให้ร่วมกิจกรรมต่าง ๆ เช่น ให้ช่วยกันซื้อสินค้าไทย ร่วมใจประหยัดพลังงาน การร่วมบริจาคเพื่อชาติ สนใจซื้อสินค้าบางชนิด สนใจใช้บริการที่เสนอ เป็นต้น
        4. เพื่อมารยาทของสังคม ได้แก่ การพูดเนื่องในโอกาสต่าง ๆ เช่น การกล่าวอวยพร การกล่าวต้อนรับ การกล่าวแนะนำบุคคล การกล่าวคำอำลา การกล่าวคำไว้อาลัย เป็นต้น
        5. เพื่อจรรโลงใจ คือ พูดเพื่อชี้ให้เห็นและยึดมั่นในคุณงามความดี ให้เกิดความสุขและความสนุกสนานเบิกบานใจ เช่น การเล่านิทาน การเล่าเรื่องตลก การเล่าเรื่องของละครสู่กันฟัง การบรรยายธรรมะ การพรรณนาถึงความงามของสิ่งของหรือสถานที่ เป็นต้น
        คณาจารย์สาขาวิชาภาษาไทย คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ (2551 : 148)  ได้ให้จุดมุ่งหมายของการพูด ดังต่อไปนี้
        1. การพูดเพื่อให้ความรู้ เป็นการพูดเพื่อให้ความรู้ นำเสนอข่าวสารข้อเท็จจริงและข้อคิดเห็น เพื่อให้ผู้ฟังเกิดความรู้ความเข้าใจ โดยการบรรยาย อธิบาย แนะนำ เช่น การบรรยายทางวิชาการ การรายงานเรื่องราว การชี้แจง การเล่าเรื่อง เป็นต้น การพูดตามจุดมุ่งหมายนี้ ผู้พูดต้องเตรียมเนื้อหาข้อมูลต่าง ๆ ให้พร้อม และเลือกใช้วิธีการนำเสนอที่ทำให้ผู้ฟังเข้าใจง่าย
        2. การพูดเพื่อโน้มน้าวใจ เป็นการพูดเพื่อชักจูงใจผู้ฟังให้เกิดการยอมรับความคิดและการกระทำของผู้พูด มีความคิดเห็นคล้อยตาม ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางความคิดหรือการกระทำ เช่น การพูดหาเสียง การพูดขอความร่วมมือ การพูดขายสินค้า การพูดโต้วาที เป็นต้น การพูดตามจุดมุ่งหมายนี้ ผู้พูดต้องแสดงการพูดให้ผู้ฟังเห็นความสำคัญของการปฏิบัติตาม และต้องมีคุณธรรมทางการพูด ไม่พูดหลอกลวง หรือละเมิดสิทธิผู้อื่นให้เกิดความเสียหาย
        3. การพูดเพื่อจรรโลงใจ เป็นการพูดเพื่อให้ผู้ฟังมีความสนุกสนาน เพลิดเพลิน สบายใจ เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย หรือยกระดับจิตใจ เช่น การเล่านิทาน การพูดเรื่องตลกขบขัน การกล่าวสดุดี การกล่าวอวยพร การพูดให้โอวาท เป็นต้น การพูดตามจุดมุ่งหมายนี้เนื้อหาต้องมีความสนุกสนาน หรือแสดงถึงคุณงามความดีเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตแก่ผู้ฟัง
        4. การพูดเพื่อค้นหาคำตอบ เป็นการพูดเพื่อขจัดข้อสงสัย คลี่คลายปัญหา โดยการสอบถาม ขอคำปรึกษาจากผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะเรื่อง หรือเป็นการพูดเพื่อระดมความคิดเห็นจากผู้ฟังเพื่อร่วมมือกันแก้ปัญหาของบุคคลและส่วนรวม เช่น การสอบถามข้อมูลความรู้ การปรึกษาปัญหาสุขภาพ การพูดสนทนา การอภิปราย เป็นต้น การพูดตามจุดมุ่งหมายนี้ผู้พูดจะต้องพูดแสดงประเด็นปัญหา และใช้คำถามที่ทำให้ผู้ฟังคิดหาคำตอบ หรือวิธีแก้ปัญหานั้น

องค์ประกอบสำคัญของการพูด
      การพูดแต่ละครั้งจะประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใดนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับองค์ประกอบของการพูด ว่าองค์ประกอบแต่ละองค์ประกอบมีความเหมาะสม สอดคล้อง และสัมพันธ์กันเป็นอันดีหรือไม่ ซึ่งลัดดา แพรภัทรพิสุทธิ์ (2552 : 16-17) ได้แบ่งองค์ประกอบของการพูด ไว้ดังนี้
        1. ผู้พูด คือ ผู้ที่ต้องการถ่ายทอดความรู้ ความคิด ความรู้สึก และความต้องการของตนเอง รู้จักเลือกใช้วิธีการในการถ่ายทอดได้อย่างเหมาะสม รู้จักใช้ภาษา น้ำเสียง และอากัปกิริยาต่าง ๆ ได้กลมกลืนกับเนื้อหาที่นำเสนอ นอกจากนี้ยังต้องรู้จักวิเคราะห์ และสังเกตพฤติกรรมของผู้ฟังเพื่อเป็นข้อมูลในการเตรียมหรือปรับสารที่นำเสนอ อีกทั้งต้องเป็นผู้ใฝ่รู้โดยการอ่าน การฟังเพื่อสะสมข้อมูลไว้ใช้ต่อไปอีกด้วย
        2. สาร คือ เนื้อหาสาระที่ผู้พูดต้องการส่งไปยังผู้ฟัง เนื้อหาของสารที่ดีควรมีความยากง่าย เหมาะสมกับระดับของผู้ฟัง เพราะหากเนื้อหายาก หรือซับซ้อนเกินไปผู้ฟังอาจไม่เข้าใจ แต่หากเนื้อหาพื้น ๆ หรือซ้ำ ๆ กับที่เคยได้ยินได้ฟังมาแล้ว ก็จะทำให้ผู้ฟังเกิดความเบื่อหน่าย นอกจากนี้เนื้อหาที่จะนำมาพูด ควรเป็นเนื้อหาที่มีประโยชน์สอดคล้องกับความสนใจของผู้ฟัง และเป็นเรื่องที่ตัวผู้พูดมีความถนัด และมีความรอบรู้อย่างดี มีข้อมูล และข้อเท็จจริงที่สามารถนำมาอ้างอิง หรือมาเสริมให้เกิดความน่าเชื่อถือขึ้น
        3. สื่อ คือ สิ่งที่ช่วยถ่ายทอดความรู้ ความคิดของผู้พูดไปยังผู้ฟัง เช่น น้ำเสียง สีหน้า กิริยาท่าทาง แสงสว่าง รวมทั้งโสตทัศนูปกรณ์ต่าง ๆ หากผู้พูดใช้สื่อได้เหมาะสมกับเนื้อหาที่พูด ย่อมทำให้การพูดครั้งนั้น ๆ ประสบความสำเร็จได้ง่ายยิ่งขึ้น
        4. ผู้ฟัง คือ ผู้รับสารซึ่งอาจจะเป็นบุคคลคนเดียว หรือหลายคนก็ได้ ผู้ฟังที่ดีต้องเป็นผู้ที่มีความสามารถในการจับใจความ และต้องสามารถวิเคราะห์ได้ว่าเรื่องที่ได้ยินได้ฟังนั้นมีความน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใด  
        5. สภาพแวดล้อม หมายถึง เวลา โอกาส และสถานที่ที่ใช้ในการพูดครั้งนั้น ๆ สภาพแวดล้อมที่ไม่ดีและดีเกินไป ย่อมเป็นอุปสรรคต่อการพูดได้ทั้งสิ้น เช่น การจัดการพูดบรรยายในเวลาบ่าย อากาศร้อนอบอ้าว หรือมีเสียงรบกวนอยู่ตลอดเวลา ย่อมทำให้ผู้ฟังขาดสมาธิ ในทางกลับกันหากจัดให้ผู้ฟังได้นั่งในห้องที่มีอากาศเย็นสบาย ผู้ฟังเลือกที่นั่งที่ติดกับเสาได้นั่งพิง ก็จะทำให้หลับได้เช่นกัน หรือแม้แต่การพูดคุยในชีวิตประจำวันก็ควรจะต้องคำนึงถึงเวลา โอกาส และสถานที่ด้วย เพราะหากไม่คำนึงถึงสิ่งเหล่านี้ก็อาจจะทำให้การพูดครั้งนั้นล้มเหลวได้

แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับการพูด
      การที่จะฝึกฝนตนเองให้พูดดี พูดเป็น พูดให้ผู้อื่นทราบความประสงค์ของตนเอง จนสามารถประบความสำเร็จ สมความมุ่งหมายของผู้พูดนั้น ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่าย ๆ ต้องมีการฝึกหัด ฝึกปฏิบัตินานพอสมควร
ทินวัฒน์ มฤคพิทักษ์ (อ้างใน สุวัชรา ทรัพย์พรรณ 2536: 6-7) ได้ให้แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับการพูด สำหรับผู้ที่จะฝึกพูดไว้ดังนี้
        1. เรายอมรับว่าทุกคน (ที่ไม่ได้เป็นใบ้) ล้วน พูดได้ แต่มีบางคนเท่านั้นที่พูดเป็น พูดได้นั้น เราพูดกันมาตั้งแต่ขวบเศษ ๆ เปล่งวาจาออกมาเป็นภาษามนุษย์ ฟังได้ก็ฟัง ฟังไม่ได้ก็ต้องทนฟังเอา ส่วนพูดเป็นนั้น หมายถึงพูดให้คนฟังชื่นชอบ พูดให้คนเชื่อถือคล้อยตามปฏิบัติตาม พูดเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย เรื่องง่าย ๆ เป็นเรื่องสนุก ซึ่งนับว่าพูดยากกว่ามากและไม่ใช่จะทำกันได้ทุกคน
        2. การพูดนั้นเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ในขณะเดียวกัน วิชาการพูด เรียนกันได้ ถ่ายทอดกันได้ มีกฎเกณฑ์เช่นเดียวกับศาสตร์แขนงอื่น ๆ หากแต่ว่าจะทำให้เก่งเท่ากันไม่ได้ ต้องขึ้นอยู่กับศิลปะ ซึ่งเป็นความสามารถเฉพาะตัว
        3. นักพูดที่ดีไม่ต้องอาศัยพรสวรรค์เสมอไป หากทำให้เกิดขึ้นได้ด้วยการศึกษาและการฝึกฝนสองอย่างควบคู่กันไป บางท่านอาจเข้าใจว่าการพูดเป็นเรื่องของ พรสวรรค์ ใครที่ไม่มีพรสวรรค์ฝึกอย่างไรก็พูดไม่ได้ ส่วนคนที่มีพรสวรรค์ไม่ต้องฝึกก็เก่งอยู่แล้ว ความเชื่อเช่นนี้ เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาตนเองเป็นอย่างมาก พรสวรรค์เราไม่อาจพิสูจน์หรือนิยามลงไปได้ว่า ใครมี ใครไม่มี สืบให้ลึกลงไปในความสามารถพิเศษของแต่ละบุคคล อาจจะกลายเป็นเรื่องของ สิ่งแวดล้อม หรือ กรรมพันธุ์ หรือ การอบรมแต่เยาว์วัย
        4. ในโลกนี้ไม่มีใครพูดเก่งจนไม่สามารถจะปรับปรุงแก้ไขอะไรได้อีก ใครก็ตามที่ว่าเป็นนักพูดชั้นยอดนั้น ฟังกันจริง ๆ ก็จะเห็นได้ว่า ยังมีที่ติควรแก้ไขปรับปรุงทั้งนั้น ไม่มากก็น้อย ไม่ควรที่ใครจะหลงระเริงต่อคำป้อยอของบริวาร หรือเข้าใจเอาเองว่าตนเก่งจนไม่มีที่ติ เป็นความหลงผิดและเดินสวนทางกับคนที่ก้าวหน้า ผู้ที่ปรับปรุงตัวเองอยู่เสมอ
        5. การฝึกพูดต่อที่ชุมชน มีผลต่อการพัฒนาบุคลิกภาพทั้งภายนอกและภายในชั่วเวลาไม่นานนัก หลังจากลงมือฝึกหัดพูดอย่างถูกวิธี บุคลิกภาพจะเปลี่ยนไป ในทางบวกอย่างเห็นได้ชัด แต่ถ้าฝึกผิดวิธี ผิดตำรา บุคลิกภาพอาจแย่ลงอย่างเห็นได้ชัดเช่นกัน






2 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ22 เมษายน 2561 เวลา 10:28

    ขอบคุณที่ให้ความไว้วางใจในการให้บริการออนไลน์สำหรับการช่วยเหลือเงินกู้ 200,000 ยูโรเพื่อเริ่มต้นครอบครัวของฉันภายใน 24 ชั่วโมงหากคุณสนใจที่จะกู้เงินด่วนในอัตราต่ำติดต่อ Trustloan Online Services ที่: {trustloan88 @ g m a l l. c o m}

    ตอบลบ
  2. ดีมากครับ​ เอาไปสอนได้

    ตอบลบ